ก่อนอื่น เราคงต้องทำความเข้าใจว่า “ลัคนา” คืออะไร

ลัคนา คือ จุดกำเนิดของตัวเรา ณ เวลาที่เราเกิด ลัคนาอยู่ตรงไหน ตรงนั้นคือบ้าน หรือที่เรียกว่า “ภพ หรือ เรือน” ของเรา ว่า อยู่ในกลุ่มดาวราศีอะไร มีดาวอะไรโคจรร่วมอยู่ด้วย ณ เวลาที่เราถือกำเนิดนั้น เพราะว่าจุดกำเนิดของเรานั้น หากมาพร้อมกับการโคจรของดาวดวงใดดวงหนึ่ง ดาวดวงนั้นเราเรียกว่า “ดาวกุมลัคน์” ซึ่งก็คือ ดาวที่อยู่ร่วมราศีกับตัวเราหรือลัคนาของเรานั่นเอง และโบราณจารย์ก็ถือว่า เป็นดาวประจำตัวบุคคลด้วย

กล่าวคือ นอกจากจะเป็นดาวที่ดีที่สุด ทำมุมกับเรามากที่สุด ทำองศากับเรามากที่สุด หรือว่าให้แสงกับเรามากที่สุดแล้ว ดาวที่กุมลัคนายังเป็นดาวประจำตัวเราอีกด้วย

โหรโบราณในตำราเก่าๆ ท่านถือว่า เป็นเทพประจำตัวเราองค์หนึ่ง ท่านว่าเป็นดาวที่มากับลัคนา จึงถือเป็นเทพเจ้าประจำตัวเรา หรือว่าเป็นดาวประจำตัวเราด้วย เป็นการให้ความสำคัญของดาวที่กุมลัคนา เพราะฉะนั้น ในการพิจารณาดวงชาตา ควรที่จะคำนึงด้วยว่า มีดาวกุมลัคน์หรือไม่ และถ้าหากไม่มีก็ไม่เป็นไร

ดาวที่กุมลัคนา จะเปรียบเสมือนกับตัวเรา เพราะเกิดมาพร้อมกับเรา และเราเองก็ได้รับอิทธิพลจากดาวดวงนั้นเต็มที่ ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นดาวที่บงการ ครอบคลุม หรืออยู่เบื้องหลังในความคิดของเราก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเป็นลัคนาตัวหนึ่ง เป็นตนุลัคน์ตัวหนึ่งเหมือนกัน ในการดูดวงชาตา นอกเหนือจากการดูลัคนา ตนุลัคน์ และดาว ๒ แล้ว ยังต้องดูอีกว่า ดาวกุมลัคนาของเราโคจรไปอยู่ที่ไหน เพราะมันเทียบเท่ากับลัคนาของเราเอง และเทียบเท่าดาววันเกิดด้วย

ดังนั้น ในการพยากรณ์จร หากดาวที่กุมลัคน์ไปทำมุมดีหรือร้ายกับดาวดวงไหน ก็จะส่งผลกระทบไปสู่เจ้าชาตาอีกด้วย เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาการอ่านความหมายของดาวที่เกาะกุมลัคนาอยู่ เพื่อผลของการพยากรณ์ต่อไป