ความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์

 

พยากรณ์ดวงเมือง ปี 2563 - ตอนที่ 1
24 ม.ค. 2563

 

 
ปีหน้าจะเป็นปีที่ดาวพฤหัสกับดาวเสาร์อยู่คู่กันในราศีธนู เมื่ออยู่คู่กันในราศีธนู ก็จะเข้ายุคที่ 10 คือยุคชาวศิวิไลย์ ซึ่งคำว่าชาวศิวิไลย์ เราก็จะนึกว่ามันน่าจะเจริญ ทุกคนอยู่ดีกินดี แต่แท้จริงแล้ว ความเจริญของชาวศิวิไลย์นี้ จะมีความหมายถึงยุคของความสะดวกสบายด้วยเครื่องมือทันสมัย เป็นยุคของ online มีบันไดเลื่อน ถนนลอยฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างรวดเร็ว มีของสำเร็จรูป มี delivery ถึงบ้าน คุยที่บ้านหนึ่ง อีกบ้านหนึ่งก็ได้ยิน มันเริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ จนเราไม่รู้สึกว่ามันเป็นศิวิไลย์ แต่ถ้าคนสมัยก่อนย้อนยุคมาเกิดในสมัยนี้ก็คงตกใจ วันนี้อยู่กรุงเทพ พรุ่งนี้ไปอยู่ที่เชียงใหม่เหมือนกับเหาะไปได้ เพราะเราบินไป เป็นต้น
 
เราลองมองทุกอย่างรอบๆ ตัว มันเป็นศิวิไลย์จริงๆ แต่ถ้าในความหมายที่เราเข้าใจว่า ทุกคนจะอยู่ดีกินดี มีความสุขกันทั่วหน้า อันนั้นอาจจะเกิดได้ในยุคพระศรีอารย์ ไม่ใช่ในยุคชาวศิวิไลย์อย่างที่เราเข้าใจกัน ปีหน้า เราจะเข้ายุค 10 ของรัตนโกสินทร์ ตามคำพยากรณ์ดาวสิบยุคที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา ทุกอย่างจะปรับเปลี่ยนไปหมด ถ้าเราปรับตัวไม่ทัน ไม่เรียนรู้ ยึดติดของเก่าๆ เราก็จะไม่ใช่ชาวศิวิไลย์
 
ก่อนการพยากรณ์ต่อไป เราจะมาทำความเข้าใจถึงเรื่อง 4 ทวีปในคัมภีร์พราหมณ์ก่อน ดังนี้
 
ราศีมีน เมษ พฤษก จะเปรียบเสมือนอุตรกุรุทวีป
ราศีเมถุน กรกฎ สิงห์ คือ บูรพวิเทหทวีป
ราศีกันย์ ตุลย์ พิจิก คือ ชมพูทวีป
ราศีธนู มังกร กุมภ์ คือ อมรโคยานทวีป
 
อันนี้มีนัยที่สำคัญ ก่อนจะถึงพยากรณ์ อาจารย์จะอธิบายถึงข้อความหนึ่งในไตรภูมิโลกวินิจฉัยที่บรรยายว่า พระราชาทรงพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทรงสดับว่า ปราสาท 7 ชั้น ประกอบด้วยแก้ว 7 ประการ ผุดขึ้นแล้วเพื่อโชติกะเศรษฐี คือสมัยก่อนในอินเดีย จะมีเศรษฐีประจำเมือง คณิกาประจำเมือง พ่อค้าประจำเมือง เมืองนั้นถึงจะเจริญ คณิกาดึงดูดนักท่องเที่ยว พ่อค้าทำให้เกิดความมั่งคั่ง และเศรษฐี ถ้ามีเศรษฐีประจำเมืองมากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าเมืองนั้นมีความมั่งคั่ง แคว้นมคธเป็นแคว้นที่มั่งคั่งที่สุดในเวลานั้น
 
หนึ่งในเศรษฐีผู้มีบุญมากที่สุดคือ โชติกะเศรษฐี ซึ่งมั่งคั่งร่ำรวยมาก กว่าจะถึงตัวบ้านก็ต้องผ่านด่านถึง 7 ชั้นด้วยกัน มีความหมายถึง สุดยอดของความมั่งคั่ง ร่ำรวย และปลอดภัย โชติกะมีภรรยานางหนึ่งซึ่งมาจากอุตรกุรุทวีป นางนี้มีสิ่งของที่ติดตัวมา มีทะนานข้าวสารหนึ่ง และแผนศิลาอันลุกโพลงด้วยเปลวไฟสามแผ่นมาด้วย เมื่ออยากจะทานข้าว ก็เอาข้าวใส่หม้อวางไว้บนแท่นศิลานี้ ก็จะลุกเป็นไฟขึ้นมาเอง ( น่าจะเหมือนหมอหุงข้าวไฟฟ้าของเรา) เมื่อข้าวสุกไฟก็จะดับเอง แล้วก็ยังมีหม้อน้ำแกง เมื่อกดปุ่มน้ำแกงก็จะสุกขึ้นมา แล้วไฟนั้นก็จะดับลงเอง (คือ หม้อตุ๋น และยังมีกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า) ยังมีแก้วมณีวิเศษที่เอาวางไว้ตามมุมห้อง กลางคืนไม่ต้องจุดไฟ ก็จะมีแสงเรืองๆ ขึ้นมาเอง ( คือ แก้วหินมงคล จินดามณี) ภรรยาของโชติกะเล่าว่า เมืองที่จากมา บางแห่งก็ไม่ต้องเดิน ถนนแล่นไปเอง (บันไดเลื่อนแน่ๆ) เวลาจะเดินทางไปไหนก็ไม่ต้องเดินเท้าหรือใช้ช้างม้าพาหนะเลย ขึ้นยานเหาะไป (เราก็ขึ้นเครื่องบินไปเหมือนกัน)
 
เราจะพูดถึงอุตรกุรุทวีปก่อน ทวีปนี้มีปริมณฑลเท่ากันกับอีก 3 ทวีป แต่การอธิบายถึงมนุษย์ในราศีต่างๆ ทำให้เรานึกถึงสวรรค์-นรก คือการที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และมีการรจนาโดยพระอุปปติสสะเถระแห่งลังกาทวีป ชมพูทวีปเป็นทวีปเดียวใน 4 ทวีป ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเลือกมาบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มนุษย์ในทวีปนี้มีรูปหน้าเป็นรูปไข่ มนุษย์ในทวีปนี้มีคติที่ไม่แน่นอน บางคนก็มารับบุญ บางคนก็มารับบาป ความตายก็ไม่แน่นอน จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาท สามารถที่จะรับรู้ธรรมได้ ดังนั้นจึงเป็นที่ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาบำเพ็ญเพียร
 
มนุษย์ที่อยู่ในชมพูทวีปนี้มีอายุไม่แน่นอน ในขณะที่อีก 3 ทวีปคือ อุตรกุรุทวีป มนุษย์จะมีอายุถึง 1000 ปี ถ้าเราเปรียบเทียบบนสวรรค์ ก็คือแดนสวรรค์ตั้งแต่ชั้นปรนิมมิตรสวัสตี จนกระทั่งถึงพรหมชั้นที่หนึ่ง ส่วนบุรพวิเทหะมีอายุได้ 100 ปีเปรียบเทียบได้กับสวรรค์ชั้นจตุมหาราช ขณะที่ อมรโคยานทวีป มีอายุ 400 ปี เปรียบเทียบว่าถ้าเป็นสวรรค์ก็ได้ เป็นแดนหิมพานต์ก็ได้ มีทั้งยักขะ คนธรรพ์ นาคา มีทุกอย่างทั้งความดีและความชั่ว
 
กลับมาที่อุตรกุรุทวีป ความเป็นอยู่นั้นสะดวกสบายด้วยอำนาจบุญวาสนาที่บำเพ็ญมา บุคคลใดที่มีบุญวาสนาแก่กล้า มีปัญญาคิดโน้นคิดนี่ได้ตลอด ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ มาบำรุงความสุขตอนเป็นมนุษย์ จัดอยู่ในอุตรกุรุทวีปทั้งสิ้น มนุษย์กลุ่มนี้ถ้าตายไปก็จะไปเป็นเทวดา-นางฟ้า แต่มนุษย์กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยโมหะ เมื่อตายจากเทวดา-นางฟ้า ก็จะไปเป็นเดรัจฉาน เพราะตั้งอยู่ในคำว่าโมหะ ดังนั้น ถ้าสมมุติว่าเรายังยึดติดอยู่ในความสบาย คิดว่าเราทำบุญมาเยอะ บุญเก่าเรามี บุญใหม่ก็มี ถ้าเรายังติดอยู่ในโมหะ เราก็มีสิทธิ์ไปเป็นเดรัจฉาน
 
มนุษย์ประเภทต่อไปคือ บุรพวิเทหะ รูปหน้าทรงบาตรตัด คือหน้าผากแคบแต่แก้มใหญ่ เป็นผู้ที่มีปัญญา แต่ตายไปมักจะไปนรก เพราะเป็นผู้ใช้สติปัญญาในทางโลก คือเป็นนักวิจัยนักค้นคว้า แต่ไม่ชอบทำบุญ โดยถือว่าตนฉลาดแล้ว เก่งแล้ว ดีแล้ว มักยกตนข่มท่าน ได้แก่ผู้บริหารทั้งหลาย ฉลาด เก่ง แต่ไม่มีเวลาทำบุญ ใช้คนอื่นไปทำบุญแทน โดยมักอ้างว่าไม่มีเวลา
 
ต่อไปเป็นอมรโคยานทวีป ไม่มีบุญ แล้วก็ไม่มีปัญญา คือเป็นที่คนหลงตัวเอง อยู่กับตัวเอง ยึดติดกับตัวเองว่า ดีแล้วถูกแล้ว อ่านธรรมก็นำไปปฏิบัติแบบผิดๆ ชอบกินเนื้อสัตว์ ของคาว แล้วก็ยึดติดว่า ที่โน่นอร่อย ที่นี่ไม่อร่อย อย่างนั้นอย่างนี้ และมักมีเรื่องในครอบครัว ทะเลาะกับลูก ตบตีคนภายในครอบครัว มนุษย์กลุ่มนี้ตายไปแล้วต้องลงนรก เพราะประกอบไปด้วยโทสะจริตและวิตกจริต หลงระเริงและไม่เชื่อในบาปบุญคุณโทษ