เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา

 

"อนันตลักขณสูตร" บทสวดมนต์แปลของวัดท่าซุง ตอนที่ ๑
10 เม.ย. 2559

 

พระอานนทเถรพุทธอุปัฎฐาก ได้กล่าวแสดงต่อคณะสงฆ์ ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ว่าดังนี้

 

เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง

วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย

 

ข้าพเจ้า ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับยับยั้ง อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี

 

ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ

 

ในกาลครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนสติเหล่าภิกษุปัญจวัคคีย์ ให้ตั้งใจฟังและพิจารณาตามพระดำรัสของพระองค์อย่างนี้ว่า

 

รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา

รูปัญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ

นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ

ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อโหสีติ

ยัสมา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา

ตัสมา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ

นะ จะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ

 

ภิกษุทั้งหลาย รูป คือร่างกายนี้ เป็นอนัตตา ประกอบไปด้วยธาตุ๔ มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้ารูปคือร่างกายนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

รูปคือร่างกายนี้ ก็ย่อมไม่เป็นไป เพื่อความทุกข์ทรมานทำให้ลำบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากร่างกายดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอร่างกายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปคือร่างกายนี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมาน ทำให้ลำบากใจ

และเมื่อรูปคือร่างกาย มันไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากร่างกายดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอร่างกายจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา

 

เวทะนา อะนัตตา

เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ

นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ

ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ

เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ

ยัสมา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา

ตัสมา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ

นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ

เอวัง เม เวทะนา มา อโหสีติ

 

เวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เป็นอัตตา คือตัวตนของเราแล้วไซร้

เวทนานี้ ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทำให้ลำบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากเวทนาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกที่เป็นสุขตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกที่เป็นทุกข์เลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา

แต่ว่าภิกษุ ทั้งหลาย ก็เพราะเวทนาคือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมาน ทำให้ลำบากใจ

และเมื่อเวทนามันไม่ ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากเวทนาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกที่เป็นสุขตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกที่เป็นทุกข์เลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา

 

สัญญา อะนัตตา

สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ

นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ

ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ

เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ

ยัสมา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา

ตัสมา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ

นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ

เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ

 

สัญญา คือความจำ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าสัญญาคือความจำนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

สัญญานี้ ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อทำให้ลำบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากสัญญาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความจำที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความจำที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาคือความจำนี้ เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงต้องเสื่อมไป ทำให้ลำบากใจเพราะความจำไม่ได้

และเมื่อสัญญามัน ไม่ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากสัญญาดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความจำที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความจำที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา

 

สังขารา อะนัตตา

สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ

นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง

ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ

เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ

ยัสมา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา

ตัสมา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ

นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ

เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ

 

สังขาร คือความคิดดีและชั่ว เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

สังขารนี้ ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทำให้ลำบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความคิดที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความคิดชั่วเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงชอบคิดถึงแต่เรื่องราวที่ทำให้ลำบากใจ

และเมื่อสังขารมันไม่ใช่ ของเราเช่นนี้แล้ว เราย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากสังขารดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความคิดที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความคิดชั่วเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา

 

วิญญาณัง อะนัตตา

วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ

นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ

ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ

เอวัง เม วิญญาณัง มา อโหสีติ

ยัสมา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา

ตัสมา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ

นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ

เอวัง เม วิญญาณัง มา อโหสีติ

 

วิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดี เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ ไม่สามารถจะบังคับบัญชามันได้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าวิญญาณนี้ เป็นอัตตาคือตัวตนของเราแล้วไซร้

วิญญาณนี้ ก็ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมานทำให้ลำบากใจ

เราย่อมได้ทุกอย่างจากวิญญาณดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมได้ดังใจปรารถนา

แต่ว่าภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญาณนี้ เป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตนของเราหรือของใครๆ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ มันจึงเป็นไปเพื่อความทุกข์ทรมาน ทำให้ลำบากใจ

และเมื่อวิญญาณมันไม่ ใช่ของเราเช่นนี้แล้ว เราย่อมไม่ได้ทุกอย่างจากวิญญาณดังใจปรารถนา คือถ้าปรารถนาว่า ขอให้เราจงมีแต่ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ดีตลอดไปเถิด อย่ามีความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ดีเลย ก็ย่อมไม่ได้ดังใจปรารถนา

 

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ

อะนิจจัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ

ทุกขัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง

เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ

โน เหตัง ภันเต

 

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในรูปคือร่างกายนี้ เป็นอย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่า รูปคือร่างกายนี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

และเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา เราคือร่างกายอย่างนั้นอย่างนี้ และร่างกายนี้เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า

 

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ

อะนิจจา ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ

ทุกขัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง

เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ

โน เหตัง ภันเต

 

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในเวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เป็นอย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่า เวทนา คือ ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

และเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า เวทนานี้เป็นเรา เราคือเวทนาอย่างนั้นอย่างนี้ และเวทนานี้เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า

 

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ

อะนิจจา ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ

ทุกขัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง

เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ

โน เหตัง ภันเต

 

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในสัญญาคือความจำนี้ เป็นอย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่า สัญญาคือความจำนี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

และเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ความจำนี้เป็นเรา เราคือความจำอย่างนั้นอย่างนี้ และความจำนี้เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า

 

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ

อะนิจจา ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ

ทุกขัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง

เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ

โน เหตัง ภันเต

 

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้ เป็นอย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่าสังขารคือความคิดดีและชั่วนี้  มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ความคิดดีและชั่วนี้เป็นเรา เราคือความคิดดีและชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ และความคิดดีและชั่วนี้เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า

 

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ

อะนิจจัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ

ทุกขัง ภันเต

ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง

เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ

โน เหตัง ภันเต

 

ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในวิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีนี้เป็นอย่างไร

ภิกษุทั้งหลาย เราขอถามว่าวิญญาณ คือความรู้สึกสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและไม่ดีนี้ มันมีสภาพเที่ยงหรือไม่เที่ยง ?

ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

ก็ถ้าสิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ?

เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

และในเมื่อสิ่งใดไม่เที่ยง มีแต่นำทุกข์มาให้ และมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาแล้วไซร้ เป็นการสมควรแล้วหรือที่จะคิดว่า ความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็น เรา เราคือความรู้สึกสัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ และความรู้สึกสัมผัสกับสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นตัวตนของเรา ?

ไม่สมควรที่จะคิดเห็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า