- ฮวงจุ้ยพื้นฐาน
- รูปภาพและความหมาย
- ฮวงจุ้ยสำนักงาน
- ฮวงจุ้ยที่ดิน
- ฮวงจุ้ยร้านค้า
- ฮวงจุ้ยบ้านเรือนที่อยู่อาศัย
- ข้อห้ามเกี่ยวกับการเลือกที่อยู่อาศัย
- ทำเลเสียดูอย่างไร
- ดาว ๙ ยุคคืออะไร
- ดวงจีน
- การดูลักษณะภูเขา
- กรณีศึกษาฮวงจุ้ย
- ประสบการณ์การดูทำเลของอาจารย์แอน
- คำคม..ข้อคิด
- เกร็ดความรู้จากพุทธศาสนา
- เกร็ดความรู้ที่ได้จากวรรณคดี
- บทความพิเศษ
18 พ.ค. 2558
จะขอกล่าวเท้าความถึงการเสด็จจาริกของพระพุทธองค์ หรือการเสด็จจาริกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นประเพณี เมื่อเสด็จจาริกไปในชนบท ก็เสด็จไปในมณฑลทั้งสาม คือมหามณฑล มัชฌิมมณฑล และอันติมณฑล ตอนเสด็จนี้เรียกว่า ไม่รีบจาริก เป็นไปตามกฎเกณฑ์ คือการเสด็จจากมณฑลใหญ่ไปหามณฑลน้อย ส่วนการจาริกอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “รีบจาริก “ คือรีบเสด็จไปเพื่อโปรดบุคคลที่ควรจะได้รู้เป็นการเฉพาะเจาะจง โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะทางว่าใกล้หรือไกล เช่น การเสด็จไปต้อนรับ ปิปผลิมาณพ ซึ่งภายหลังก็เป็นพระมหากัสสปะเถระ ขณะเดินทางมาขอบวชในระหว่างนาลันทากับกรุงราชคฤห์ จาริกไปเพื่อโปรดอาฬวกยักษ์ ที่เมืองอาฬวี และเพื่อโปรดองคุลีมาลที่เมืองชาลินี ที่แคว้นโกศล เป็นต้น เป็นการจาริกเฉพาะ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ปรกติจะปราศรัยกับภิกษุทั้งหลาย อาคันตุกะ อันเป็นพุทธประเพณีด้วย การตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ร่างกายของพวกเรายังพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอยังเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยอาหารที่บิณฑบาตหรือ “ เหมือนกับทักทายว่าสบายดีหรือเปล่านะค่ะ จะทักทายว่า ร่างกาย สุขภาพ เป็นอย่างไร พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นสุขไหม หรือลำบากในการบิณฑบาตหรือเปล่า เป็นคำทักทายที่เป็นพุทธประเพณี
และพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งที่ทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบการณ์แล้วตรัสถาม ทรงทราบการณ์แล้วไม่ตรัสถาม เป็นพุทธประเพณีอีกเหมือนกัน ย่อมตรัสถามในสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เสมอ พระพุทธเจ้าทรงเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา ย่อมเกิดประโยชน์ทั้งสิ้น และยังทรงอบรมภิกษุทั้งหลาย ด้วยอาการ ๒ อย่างคือ การแสดงธรรม และการบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย ปัญหานี้เป็นการเกริ่นก่อนที่จะกล่าวถึงทางพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึงภัยอนาคต อันเป็นความเสื่อมของพุทธศาสนา ไว้ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตข้อ ๘๐ กล่าวถึงภัยในอนาคต ๕ ประการ ซึ่งยังไม่ได้บังเกิดในตอนนั้น แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ปีที่แล้ว และทรงตรัสว่าภัยทั้งหลายนั้น อันเธอทั้งหลายควรรู้ไว้ ครั้นรู้แล้ว เธอพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้นเสีย
๑.ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบจีวรในนาม ไม่ชอบจีวรในงาน จะละความเป็นผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร(ในสมัยนั้นถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร) จะประชุมกันอยู่ตามทางนิคมในงาน (ที่ชุมชน ผู้อยู่อาศัย) และราชธานี(อยู่ในเมืองใหญ่) จะถึงการแสวงหาที่อันไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งจีวร
๒.ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบบิณฑบาตที่ดีงาม ไม่ชอบบิณฑบาตที่มีงาน ก็จะละความเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร คือเดินออกไปบิณฑบาต จะประชุมกันอยู่ตามทาง (เมือง) นิคม และราชธานี แสวงหาบิณฑบาตที่มีรสเลิศด้วยกายลิ้น ประจักษ์ถึงการแสวงหาที่ไม่สมควร อันไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต (การบิณฑบาตคือการขอโดยดุษฎีภาพเป็นลักษณะเด่น เพราะคำว่าภิกษุคือผู้ขอจริง ๆ จึงเป็นผู้ที่ต้องออกบิณฑบาต)
๓.ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบเสนาสนะที่ดีงาม(อยู่ในเมือง) ไม่ชอบเสนาสนะที่มีงาน ก็จะละความเป็นผู้ถือกายอยู่ป่า วัด ละเสนาสนะอันสงัด คือป่า และป่าชัฏ จะประชุมกันอยู่ตามทางนิคม และราชธานี จะแสวงหาการณ์อันไม่สมควรอันไม่เหมาะสมกับกาล เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ(รวมถึงเครื่องอัฏฐะบริขาร ทั้งหมดด้วย)
๔.ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณี สามเณรี กิจของฆารวาทและไสยศาสตร์ เพื่อหวังได้ว่าเธอเหล่านั้นจะไม่เป็นผู้ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จะต้องอาบัติเศร้าหมองบางประการ หรือก่อคืนสิกขา เวียนมาเพื่อความเป็นคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งการคลุกคลีนั้น
๕.ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ เมื่อมีการคลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ พึงหวังได้ว่า เธอเหล่านั้นจะเป็นผู้ประกอบด้วยการบริโภคของที่สะสมไว้ มีประการต่าง ๆ จักทำนิมิตแม้อย่างหยาบในแผ่นดินบ้าง ที่ปลายขอบเขียวบ้าง (สร้างวัตถุพุทธพาณิชย์แบบที่เราได้เห็นกัน)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตทั้ง ๕ ประการที่ยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จะบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงละภัยเหล่านั้น อันเป็นความเสื่อมของภัยพระพุทธศาสนาในอนาคตกาล เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ก่อนพุทธกาล ๒๕๐๐ ปี ที่สามารถจะดูจริยาของภิกษุได้ แต่พระพุทธศาสนาจะคงอยู่ถึง ๕๐๐๐ ปี ฉะนั้นสิ่งที่เห็นในปัจจุบันยังเป็นส่วนน้อย อย่างไรก็ตามยังเคยตรัสถึงเหตุที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม คือในสมัยหนึ่ง ขณะที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในเวฬุวันวิหาร พระกิมพิละเข้าไปกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ไม่นาน หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว หากพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ที่
๑.ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในพระศาสดา
๒.ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในพระธรรม
๓.ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในพระสงฆ์
๔.ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขาบท
๕.ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงซึ่งกันและกัน
“ดูก่อนกิมพิละ ปฏิปทานี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรม ไม่ดำรงอยู่ได้นาน “ พระกิมพิละก็ทูลถามว่า “ และอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรม ดำรงอยู่ได้นาน “ ซึ่งพระพุทธองค์ก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว หากพวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ที่มีความยำเกรงในพระศาสดา (พระพุทธ) มีความเคารพยำเกรงในพระธรรม(คำสั่งสอน) มีความเคารพมีความยำเกรงในพระสงฆ์(เคารพนบนอบในพระสงฆ์) มีความเคารพมีความยำเกรงในสิกขาบท (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่หลอกลวงกัน) และมีความเคารพมีความยำเกรงซึ่งกันและกัน ปฏิทานี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรม ดำรงอยู่ได้นาน
ถ้าเมื่อใดก็ตาม เราขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน ขาดความอ่อนโยน ขาดปิยวาจา ไม่มีความยำเกรง ไม่มีการเกรงใจกัน จ้วงจาบซึ่งกันและกัน จะเป็นความเสื่อมของพระศาสนาเหมือนกัน พระพุทธศาสนาจะเสื่อมด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาหรือพุทธบริษัทสี่ ก็จะมาจากตรงนี้นั่นเอง รวมความแล้ว เหตุที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเป็นที่พระภิกษุเอง มีจิตใจที่ยังตัดไม่ขาดกับจีวร การบิณฑบาต เสนาสนะ หรือชอบที่จะคลุกคลีหรือเสวนาคฤหัสถ์ทั้งหลาย ก็จะเป็นภัยในอนาคตที่จะทำให้เสื่อมพระศาสนาประการหนึ่ง รวมทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาด้วย ขาดความเข้าถึงหรือความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และยังไม่เคารพซึ่งกันและกันอีกด้วย
เราเป็นพุทธศาสนิกชน ทุกวันนี้มีการนำพระพุทธศาสนามากล่าวถึง แต่ในการกล่าวถึงจะเป็นลักษณะการส่งเสริมและสนับสนุน หรือเห็นข้อผิดก็พยายามหาทางช่วยกันแก้ไข ถ้าเป็นลักษณะนี้จะน่าชื่นชม แต่ถ้าเป็นลักษณะที่ทำให้พระสงฆ์แตกกัน จะบาปมา และจริง ๆ แล้วการสืบพระศาสนา ไม่ใช่เป็นการทำบุญ สร้างวิหารหรือก่อสร้างวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องปฎิบัติถึงพร้อมด้วยกันทุกฝ่าย เหมือนกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้แล้ว ศาสนาก็จะไม่เสื่อม
ส่วนการตำหนิติเตียนกัน ก็ควรจะเป็นไปในลักษณะ ก่อ สร้าง ฟังแล้วรื่นหู ฟังแล้วสบายใจ ฟังแล้วกลับไปคิดถึงสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร หรือผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่าตัวเราจะต้องเป็นผู้รักษา ตัวเราเป็นพระภิกษุ เราจะต้องเป็นผู้ไม่ติดกับจีวรอันที่ดีงาม ไม่เสวนาคฤหัสถ์ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษ หรือสตรีมากเกินไป และทุก ๆ คนทั้งหลาย ทุกหมู่ ทุกเหล่า มีความเคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวินัยแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นฆราวาส หรือผู้ใดก็ตาม รักษาวินัยด้วยตนเอง รักษาความเคารพซึ่งกันและกัน ศาสนาก็จะไม่เสื่อม แต่หากเรายึดติดว่ากล่าวกัน เป็นการทำลายกัน ส่อเสียด ยุยง หรือกล่าวแล้วเกิดความสลดหดหู่ใจ จะเป็นบาปและผิดศีลข้อหนึ่งคือ กรรมบถ ในเรื่องของวาจา เราอาจจะพลาดไปในตอนไหนก็ได้ จะไม่เกิดการสร้างสรรค์ การพูดและสืบพระศาสนา จะต้องระมัดระวังเหมือนกัน ดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร
ท่านผู้อ่านได้อ่านถึงตรงนี้ สามารถสรุปได้ว่าพุทธศาสนิกชนมีความสามารถในการแยกแยะ สิ่งที่ได้เห็นได้ฟังมา เกิดประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์เป็นการสร้าง หรือการทำลาย จะสามารถแยกแยะว่าคำพูดชนิดใดเป็นคำพูดที่ผสมไปด้วยอคติ โมหะ โทสะ หรือฉันทาคติ หรือพูดไปแล้วเป็นคำกลาง ๆ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคนจะทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ได้ยกเอาข้อความในพระสูตร โดยเฉพาะที่พระองค์ทรงตรัสไว้ในพรรษาที่๑๙ มาให้ได้อ่านกัน แม้ว่าพระองค์ทรงตรัสไว้สั้น แต่ความหมายลึกซึ้งนะค่ะ